เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ธ.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเราเวลาเกิดมามันอยู่คนละสถานะ สถานะ เห็นไหม พระพุทธเจ้าสอนนะ สอนเรื่องความไม่ประมาทกับสอนเรื่องปัจจุบัน ความไม่ประมาท ถ้าเราไม่ประมาท เราอยู่กับปัจจุบันตลอดไป มันจะเป็นประโยชน์กับเราตลอดไป แต่เรามันไม่อยู่กับปัจจุบันไง เพราะเมื่ออยู่กับปัจจุบัน เห็นไหม เวลาเด็กเพิ่งเกิดมานี่อนาคตยังอีกยาวไกล ยังมาเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาในอนาคตอีกยาวไกล มันหมายไปอนาคตหมดน่ะ มันไม่อยู่กับปัจจุบันเลย มันหมายไปอนาคต เห็นไหม แล้วก็สั่งสมไว้เพื่ออนาคต เพราะอะไร เพราะกลัวตัวเองจะทุกข์จะยาก ทุกคนกลัวตัวเองจะทุกข์จะยากก็มองไปที่อนาคต เห็นไหม ในปัจจุบันนี้มันเลยเผลอ ปล่อยไง มันไม่เห็นภัย

ถ้าเราเห็นภัยในปัจจุบัน เห็นไหม ปัจจุบันนี้ เราแก้ไขที่ปัจจุบันนี้เพราะอะไร เพราะเวลาศรัทธานี่มันศรัทธาที่ปัจจุบันไง เวลาเราศรัทธานี่มีศรัทธามากเลย แต่ถ้าเราไม่ศรัทธานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ เห็นไหม เวลาไปเผยแผ่ธรรม มีคฤหัสถ์เจอ “ใครเป็นศาสดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราเป็นศาสดาเอง เราตรัสรู้ด้วยตนเอง”

ไม่เชื่อ ส่ายหน้า แล้วเดินหนีไปเลย เห็นไหม แม้แต่เดินชนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะอะไรล่ะ เพราะมันไม่ศรัทธา มันไม่มีความเชื่อ มันไม่เปิด นี่เหมือนกัน ถ้าเราไม่ศรัทธา ดูเราใช้ชีวิตทางโลกสิ แต่สังเกตได้ไหม เวลาเราศรัทธา เราศรัทธา เราเชื่อในศาสนา เรามีความกระวนกระวาย เราอยากจะประพฤติปฏิบัติมาก ตอนนี้มันเป็นปัจจุบันไง ถ้าปัจจุบันมันเปิดอย่างนี้ เห็นไหม ภาชนะมันเปิดขึ้นมา เราต้องขวนขวาย เราต้องจริงจัง เราอย่าให้กาลเวลามันล่วงไป

กาลเวลาล่วงไป ว่าเวลานี้ชีวิตยังมีอีกยาวไกล อีกยาวไกลนะ ถึงที่สุดแล้วไม่ยาวไกล เพราะโลกนี้พิสูจน์กันแล้ว เป็นพันๆ ล้านปีนะ โลกพิสูจน์กันอย่างนี้ แล้วมันก็แปรปรวนตลอดเวลา สิ่งที่เป็นพันๆ ล้านปี เห็นไหม เราอยู่ในปัจจุบัน มันก็เหมือนกับจากอดีต อนาคตไป มันก็เหมือนกับปัจจุบันนี้ มันก็มีเท่า สิ่งที่มีเท่านี้ เห็นไหม มันถึงแก้ที่ปัจจุบันไง

ธรรมในปัจจุบันนี้คือย้อนกลับมาที่ความรู้สึกอันนี้ ทุกข์เวลาเกิด เกิดที่นี่นะ เวลาหาความสุขกัน หาความสุขที่ไหน เวลาทุกข์ ทุกข์เกิดที่ใจ ทุกข์ สุขเกิดตรงทุกข์ๆ นั้นน่ะ ตรงไหนที่มันทุกข์ สุขมันจะเกิดตรงนั้นน่ะ ตรงที่มันทุกข์เพราะอะไร เพราะจิตใจมันแบกหามไง ถ้าจิตใจมันแบกหาม เห็นไหม เวลาเราหาปัจจัย ๔ เราหาความมั่นคงของชีวิต เราหาสิ่งต่างๆ ที่ว่าอนาคตเพื่อความมั่นคงของเรา สิ่งนี้มันเป็นที่อาศัย มันยังไม่ได้ใช้ ดูเงินทองสิ เงินเราสะสมไว้ในธนาคารน่ะ เราใช้มันไหม? เราไม่ได้ใช้มันหรอก เรายังไม่ถึงเวลาที่ใช้มัน

แต่ในปัจจุบันนี้เวลาทุกข์ขึ้นมา มันทุกข์ในปัจจุบัน มันทุกข์ในหัวใจตรงนี้ มันทุกข์ตรงเกิดที่มันทุกข์ๆ ตรงใจนี้ แล้วถ้ามันจะสุข มันจะสุขตรงนี้ไง ถ้ามันจะสุขตรงนี้มันจะเข้าไปอย่างไร เข้าไปให้ความทุกข์ เห็นไหม หาความสุขพลิกขึ้นมาให้เป็นความทุกข์ได้ พลิกจากความทุกข์ให้เป็นความสุขได้ ถ้ามันพลิกในหัวใจขึ้นมา ธรรมมันถึงละเอียดอ่อนอย่างนี้ แต่การละเอียดอ่อนอย่างนี้มันต้องอาศัยการบำเพ็ญ

สิ่งที่บำเพ็ญ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธภูมินี้ต้องบำเพ็ญมา เราก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้บำเพ็ญมา เราไม่มีความเชื่อมา เราจะไม่มีโอกาสอย่างนี้หรอก โอกาสอย่างนี้ เห็นไหม ลูกเกิด ลูกมามืดไปสว่าง มาสว่างไปมืด ลูกพาเรามาก็ได้ เราพยายามจะชักชวนลูกมาก็ได้ สิ่งนี้มันเป็นโอกาสนะ โอกาสของแต่ละบุคคล มันจะมีบุญกุศลสร้างสมกันไป ถ้าสร้างสม มันจะดึงไปนะ

ถ้าเราคิดถึง เห็นไหม เวลาคิดถึง ความคิดอันนี้มันเกิดจากอะไรล่ะ? มันเกิดจากความผูกพันไง สิ่งที่ความผูกพันมันเกิดจากกรรมไหมล่ะ มโนกรรมนะ กรรมอันละเอียด กรรมอันอย่างหยาบๆ เห็นไหม การทำลายกัน การกลั่นแกล้งกัน นี้เป็นการทำลายกันอย่างหยาบๆ แต่ความคิด เห็นไหม ความคิด ถ้าเราคิด เรามีศรัทธาความเชื่อ มโนกรรมสิ่งนี้มันเป็นบวก สิ่งที่เป็นบวกจากภายใน สิ่งที่ศรัทธาอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา เราต้องรีบไง เราอย่าให้ชีวิตนี้เนิ่นยาวไกล

ชีวิตนี้ เห็นไหม สิ่งนี้โอกาสของเรามันไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนของชีวิต เห็นไหม เวลาคนศรัทธามาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบิณฑบาต “ชีวิตนี้เวลาหายใจเข้าและหายใจออกมันจะตายได้” ขอฟังธรรมไง ขอฟังธรรมเพราะกระหายมาก แต่เรานี่ เวลาเรามีศรัทธาแล้วเราจะทำของเราได้ไหม ถ้าเราทำของเราได้ เราจะโทษใครล่ะ เราจะโทษธรรมไม่ได้เลย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญาอย่างนี้มันจะเกิดขึ้น สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากใจทั้งหมดเลย แต่สิ่งที่กิเลสในหัวใจมันขับไสไง

ถ้ากิเลสในหัวใจมันขับไส มันขับดันออกมา สิ่งที่ว่าเวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราพยายามจงใจทำของเรา แล้วมันไม่ได้ผล ไม่ได้ผลนี่มันเกิดจากตรงนี้ต่างหากล่ะ เกิดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันขัดขวาง เห็นไหม มันเหมือนกับเชื้อโรคน่ะ เชื้อโรคไปอยู่ในร่างกาย ถ้าเราจะเข้าไปฆ่าเชื้อโรค เราจะเอายาเข้าไปในร่างกายนั้น มันต้องกินเข้าไป เห็นไหม กินเข้าไปหรือฉีดยาเข้าไป แต่หัวใจนี้อะไรจะเข้าไป เพราะมันขับออกตลอดเวลา

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนยาไง ถ้าเราจะเอายานี้เข้าไปในหัวใจ เราจะทำอย่างไร ทำอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเป็นผู้ชี้ทาง เห็นไหม เราถึงต้องมีศรัทธาความเชื่อแล้วย้อนกลับมา ต้องให้เห็นคุณค่าของชีวิตนี้ไง ถ้าเราเห็นคุณค่าของชีวิตนี้ เราจะไม่ปล่อยให้วันคืนล่วงไปๆ นะ

หลวงปู่ฝั้นพูดไว้น่าสนใจมาก “หายใจทิ้งเปล่าๆ นะ” ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกมีประโยชนมาก แต่เราหายใจทิ้งเปล่าๆ แต่นี้ผัดวันประกันพรุ่งไง วันแล้ววันเล่าๆ แม้แต่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกยังทิ้งเปล่าๆ เลย ถ้าเรามีสติ เรากำหนดสิ่งนี้ขึ้นมา อันนี้เป็นประโยชน์มาก เวลาทำบุญกุศล เห็นไหม เราสร้างบุญกุศลขึ้นมา มันเป็นอามิส แต่ในการปฏิบัติบูชา จิตมันสัมผัส

ถ้าจิตมันสัมผัส จิตนี้สัมผัสกับความรู้สึกทั้งหมด นี่ปฏิบัติบูชาถึงประเสริฐที่สุด ทำบุญกุศลมหาศาลขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละ เห็นไหม พระเวชสันดรสละลูก สละเมีย สละทั้งหมดเลย แต่เวลามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ต้องออกประพฤติปฏิบัติ ๖ ปี เห็นไหม จะทำบุญมากทำบุญน้อยขนาดไหน ถึงที่สุดแล้วถ้าไม่ได้ปฏิบัติบูชา ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส มันก็ยังต้องเกิดต้องตาย

เวลาความทุกข์ ความทุกข์ๆ เราบ่นกันว่าทุกข์มากๆ เห็นไหม ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีชาติ ชาติปิ ทุกฺขา ทุกข์ อริยสัจเรื่องของทุกข์ เริ่มต้นจากเกิดชาติ เห็นไหม แล้วชราคร่ำคร่ามีความเจ็บไข้ได้ป่วย ถึงที่สุด การพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ การพลัดพรากสิ่งต่างๆ ก็เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นทุกข์ เห็นไหม แต่เวลาเราสละทานไป มันพลัดพรากไหม เป็นทุกข์ไหมล่ะ เวลาเราสละทานของเราออกไป สิ่งนี้ก็พลัดพราก แต่มันเป็นความพอใจไง ความพอใจเพื่อจะดัดแปลงตนไง

สิ่งที่ดัดแปลงตน การพลัดพรากเพื่อจะเข้าไปแสวงหาสิ่งอันหนึ่ง การพลัดพรากจากอารมณ์ความรู้สึกอันนี้ เราควรจะพลัดพรากไง สิ่งที่มันทำให้เราเกาะเกี่ยวให้เกิดเป็นความทุกข์ เห็นไหม เราคิดถึงสิ่งใดแล้วเป็นความทุกข์ เราคิดถึงสิ่งใดที่มันเป็นความอาลัยอาวรณ์ เราพยายามจะสละมันออก แต่ทำไมเราคิดตลอดเวลาล่ะ สิ่งที่อยากจะคิด มันก็ลืม สิ่งที่อยากจะลืม มันก็คิด เห็นไหม เพราะกิเลสมันตรงข้ามกับธรรม

สิ่งที่ตรงข้ามกับธรรม ธรรมก็ความพอใจ สิ่งที่เป็นบุญกุศล นี่มันจะลืม สิ่งที่เราไม่พอใจ มันจะคิดอยู่ตลอดเวลา นี่เวลาประพฤติปฏิบัติ เวลาจะปฏิบัติธรรมมันก็ไม่ได้ผล เพราะกิเลสมันขับไส เวลาเราคิดถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ กิเลสมันป้อนเข้ามา มันก็เป็นพิษทั้งหมดเลย สิ่งที่กิเลสป้อนให้กับใจกินนะ มันป้อนให้กับใจกิน แล้วใจนี้มันหิวโหย มันถึงกินอาหารโดยที่ว่ามันไม่รู้เรื่องของมันเลย มันไม่รู้เรื่องเพราะมันเป็น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันไม่รู้ พลังงานอันนี้เป็นผู้รู้ แต่อวิชชาปกคลุมอยู่ มันเลยกลายเป็นความไม่รู้เรื่องของมัน เห็นไหม เหมือนเด็กๆ ที่เขาไม่เข้าใจสิ่งใด เขาก็เที่ยวเล่นไปวันหนึ่งๆ ตามประสาของเขา แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ชีวิตนี้มันมีคุณค่าอยู่ขนาดไหน เขาก็ต้องประกอบสัมมาอาชีวะของเขา เห็นไหม นี่เป็นคฤหัสถ์

แต่ผู้ที่ปฏิบัติเวลามีศรัทธาความเชื่อขึ้นมา ย้อนกลับมา ออกประพฤติปฏิบัติ เป็นนักรบ ยิ่งเห็นคุณค่าของชีวิตใหญ่เลย คุณค่าของชีวิต คุณค่าของเวลา ถึงต้องการสงวนเวลามาก ถึงต้องการหาที่สงบสงัด ถึงต้องออกวิเวก ออกไปคนเดียว เห็นไหม เพื่อต้องการเวลาอันนี้เข้ามาชำระสิ่งที่ว่าต้องการให้หัวใจมันปลดเปลื้องไป ความปลดเปลื้องของใจนี้มันละเอียดอ่อนเข้ามา เพราะมันมีความเชื่อมีความศรัทธาของมันขึ้นมา สิ่งที่ศรัทธาขึ้นมา มันถึงออกแสวงหา ออกธุดงควัตร ออกป่าออกเขาหาใคร? หาใจตัวเองนี้หาแสนยากนะ

แล้วเวลาหาคนอื่น เห็นไหม เราจะรับรู้ เราจะมีปัญญามาก เราจะเท่าทันคนอื่นทั้งหมดเลย แต่เราแพ้ตัวเองตลอด เราแพ้ตัวเองตลอดนะ แต่ถ้าเราชนะตน เราชนะเรา ส่วนอื่น คนอื่น เรื่องของสังคม เรื่องของโลกเขาเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นสภาวะแบบนั้น สภาคกรรม ประเทศชาติ เวลาลดค่าเงินบาท ทั้งประเทศโดนทั้งหมดนะ นี่สภาคกรรม สังคมเป็นแบบนั้น ถ้าสังคมดี เห็นไหม อย่างที่ว่าสังคมดี ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล แต่ถ้าสังคมนั้นมีปัญหาขึ้นมา เพราะสังคมเรามองกันได้แต่ว่าสังคม เรามองแต่มนุษย์ไง

แต่ถ้าเรามีตา เห็นไหม สังคมนี้ประกอบไปด้วย จักรวาล ประกอบด้วยวัฏฏะ ประกอบด้วยเทวดา อินทร์ พรหม ถ้าผู้ใดทำคุณงามความดี ทำไมพวกศาสนาอื่นๆ เขาถึงต้องมีการเซ่น ต้องมีการไหว้ ต้องมีการเคารพบูชาสิ่งนั้นล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติบูชาของเรา ถ้าเราปฏิบัติดี เราอยู่ที่ไหน คนดี เห็นไหม เวลาสวดขอฝน “ฝนจงตกมาเถิด” นี่เราก็พูดได้ ใครก็พูดได้ ภาษาบาลีน่ะ “ฝนจงตกมาเถิด ผู้มีศีลมีธรรมได้มุงได้บังดีแล้ว ตกมาเถิดๆ” นี่ผู้ที่มีศีล เห็นไหม สวดมนต์ขอฝน ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล

แต่ถ้าเราขอฝนของเรา เราได้ฝนของเราไหมล่ะ เพราะอะไร เพราะเราอยากได้ เราต้องการ แต่ผู้มีศีลไม่ต้องการสิ่งนั้น ผู้มีศีลต้องการประพฤติปฏิบัติ แต่ในเมื่อโลกเขามีความทุกข์ความยากของเขา ก็เจือจานตามโลกไปสภาวะแบบนั้น สภาวะแบบโลกเพื่อให้โลกนี้เขาอยู่กันได้ไง สังคมสภาวกรรมเป็นสภาวะแบบนั้น โลกเป็นแบบนั้น

ถ้าเราชนะเราได้ เราชนะตนได้ สิ่งนั้นมีอยู่สภาวะแบบนั้น ถ้าเป็นคุณประโยชน์ก็จะเป็นคุณประโยชน์ ถ้าเป็นโทษ เป็นบาปกรรม เป็นอกุศลของสังคม สภาวะแบบนั้น เราก็ไม่เดือนร้อน ไม่เดือนร้อนไปกับใจเขา กับความสภาวะอย่างนั้น อาศัยสิ่งนั้นอยู่ไง เห็นไหม อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลกไง ถ้าเราอยู่กับโลกโดยแบกโลก เราต้องการโลกให้เป็นอย่างที่เราต้องการ เราต้องการโลกให้เป็นอย่างที่เราต้องการ...ถูกต้อง เราต้องการสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ต้องการให้โลกสังคมมีความสุข เราก็ต้องการ แต่ในเมื่อกรรม สภาวะมันเป็นแบบนั้น ก็ต้องปล่อยให้สภาวะเป็นแบบนั้น เห็นไหม เราช่วยเหลือได้โดยสุดความสามารถ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามญาตินะ ญาติฝ่ายพ่อกับฝ่ายแม่ทำสงครามแย่งน้ำกัน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปห้ามครั้งแรก ห้ามได้ ครั้งที่สองก็ห้ามได้ ครั้งสุดท้ายมันเป็นกรรม เห็นไหม ก็ต้องปล่อยให้ญาติข้างพ่อข้างแม่รบกันไป ล้างจนหมด เวลาไปห้ามญาติ นี่ถามนะ ถามเตือนสติก่อน “ชีวิตนี้กับน้ำ อันไหนมีคุณค่ากว่ากัน ชีวิตน่ะ ชีวิตของเรากับน้ำ อะไรมีคุณค่ากว่ากัน”

“ชีวิตนี้มีคุณค่ามากกว่าครับ” กลับ เลิกกันไป

หนที่สองมาก็ไปห้ามอีก ถึงสุดท้ายแล้วก็ต้องรบกัน เพราะว่าเขาต้องการน้ำทำนาไง เห็นไหม สังคมเจอสภาวะแบบนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ช่วยเหลือสุดความสามารถ แต่กรรมมีสภาวะแบบนั้น ญาติข้างพ่อข้างแม่ก็ต้องรบกัน รบกันเพื่อแย่งชิง มีสงครามแย่งน้ำไง นี่สภาวะโลกเป็นแบบนั้น ช่วยเต็มที่ แต่ถ้าช่วยไม่ได้ สภาวกรรมมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น เราถึงต้องย้อนกลับมา ย้อนกลับมาที่หัวใจของเรา ย้อนกลับมาดูใจของเรา ถ้าเราเอาใจของเราไว้ได้ สิ่งสภาวะแบบนั้น เราไม่ถึงกับต้องแบกโลก

แต่ถ้าเป็นผู้ชี้นำ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์น่ะรำพึงรำพัน “ดวงตาของโลกดับแล้ว”

ในสมัยพุทธกาลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ เขาจะทำอะไรก็แล้วแต่ พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล จะทำอะไรก็ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ดวงตาของโลกไง เป็นกษัตริย์นะ เวลาจะออกนโยบาย จะทำสิ่งใด ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน “ทำอย่างนี้ๆ จะประสบความสำเร็จไหม อย่างนี้จะไปรอดไหม”

นี่ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกตามข้อเท็จจริงว่า บางอย่างก็ทำได้ บางอย่างก็ไม่ถึงกาลไม่ถึงเวลา บางอย่างทำอย่างนี้ไปแล้วจะไม่เป็นประโยชน์ ก็ต้องใช้วิธีเตือน เห็นไหม

นี่ดวงตาของโลกเวลาดับแล้ว พระอานนท์ร้องได้รำพันนะ พระโสดาบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนี่ร้องไห้นะ อาลัยอาวรณ์ว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เราก็ยังมีกิเลสอยู่” ต้องการคนชี้นำอยู่ เห็นไหม ผู้ที่ไม่ประมาทไง ผู้ที่จะขวนขวายไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระอานนท์ก็ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดนะ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเอาสิ่งคติเตือนใจอย่างนี้ มองสังคม มองทุกอย่าง มองแล้ววางไว้ แล้วเอาตัวเราคนเดียว เอาตัวเราคนเดียวพ้นออกไปจากกิเลส หรือเข้าใจความเป็นไปของใจแล้ว เราจะเป็นประโยชน์กับเขาบ้าง เป็นประโยชน์กับเขาบ้างต่อเมื่อเขาต้องการ ถ้าเขาไม่ต้องการ ก็ไม่ต้องเป็นประโยชน์กับใคร เพราะเราเป็นประโยชน์กับตัวเราเองพอแล้ว เราจะให้คนอื่นเชื่อเรา เป็นไปไม่ได้หรอก เหรียญนี้มีสองด้านทั้งหมด ไม่มีใครเชื่อใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังโดนติเตียน ยังโดนเจ้าลัทธิต่างๆ ทำลายทั้งหมด ทำลายทั้งหมด เห็นไหม แม้แต่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วเราเป็นใคร เราจะไปแบกโลกทั้งโลก เป็นไปไม่ได้หรอก

เราจะต้องรักษาตัวเราเองไว้ก่อน แล้วสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เอาตรงสิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้น สิ่งที่เป็นโทษ วางมันไว้ เขาจะติฉินนินทาก็วางไว้ ไม่สนใจๆ เพราะเราจะทำอย่างนั้นแล้ว เราจะสร้างประโยชน์ไม่ได้ เราจะทำงานของเราไม่ได้นะ เราจะสร้างประโยชน์ของเรากับโลกนี้ไม่ได้เลย ถ้าเราไปติดคำติฉินนินทาที่เขาไม่ให้เราก้าวเดินออกไป

ฉะนั้น สิ่งนั้นวางไว้ แล้วทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อสังคม เพื่อต่างๆ เพื่อลูกหลาน เพื่อจรรโลงศาสนาตลอดไป แล้วเราก็ย้อนกลับมาดูเราตลอด แล้วถ้าเราพ้นจากกิเลสได้ จะเป็นประโยชน์กับเรามาก เอวัง